Home ข่าวสาร ชำระหนี้ตามปฏิทินและลูกหนี้ไม่ชำระหนี้กำหนด ถือเป็นการสัญญา

ชำระหนี้ตามปฏิทินและลูกหนี้ไม่ชำระหนี้กำหนด ถือเป็นการสัญญา

1559

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้ออะไหล่และอุปกรณ์เครื่องสูบน้ำไปจากโจทก์ ครบกำหนดชำระค่าสินค้าแล้ว จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 531,602.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 511,460 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ซื้อสินค้าพิพาทจากโจทก์ โจทก์คำนวณดอกเบี้ยผิดนัดแต่วันที่ 31 มกราคม 2540 และวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ไม่ถูกต้องเพราะวันดังกล่าวจำเลยยังไม่ผิดนัดและโจทก์ไม่ได้ทวงถาม จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 511,460 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2345,400 บาท (ที่ถูกต้องเป็น 235,400 บาท)นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยดังกล่าวคิดถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 13,241.25 บาท และจากต้นเงิน 276,060 บาท นับแต่วันที่ 17สิงหาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยดังกล่าวคิดถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 6,901.50 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ว่าก่อนปี 2540 จำเลยเคยซื้อสินค้าประเภทอะไหล่และอุปกรณ์เครื่องสูบน้ำไปจากโจทก์มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกตามที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบในคดีนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แต่งตั้งหรือมอบหมายให้พนักงานของจำเลยคนใดเป็นผู้มีอำนาจสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ในนามของจำเลย ทั้งการนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าพนักงานของจำเลยคนใดเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าพิพาททั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้แสดงออกเป็นที่ชัดเจนถึงการยอมรับเอาสินค้าจากโจทก์ไว้อันจะถือได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันต่อการสั่งซื้อสินค้า 2 รายการพิพาทตามฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระราคาสินค้าตามฟ้องแก่โจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์มีนายอาทร สุริยานำพาพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายขายของโจทก์กับนางสาวสมพร ศรีประชัย หัวหน้าแผนกการเงินและเร่งรัดหนี้สินของโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2540 จำเลยสั่งซื้อสินค้าอะไหล่และอุปกรณ์เครื่องสูบน้ำจากโจทก์ 2 รายการ เป็นเงิน 200,000 บาทเศษ และวันที่ 30 มิถุนายน 2540จำเลยสั่งซื้ออะไหล่และอุปกรณ์เครื่องสูบน้ำจากโจทก์ 3 รายการ เป็นเงิน 200,000บาทเศษ มีข้อตกลงในการชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบสินค้าแก่จำเลย นายอาทรเป็นผู้ส่งสินค้าตามที่จำเลยสั่งซื้อแก่จำเลยครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2540 ครั้งหลังเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2540 สินค้าครั้งแรกผู้รับสินค้าคือเจ้าหน้าที่คลังสินค้าของจำเลย และเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้ประทับตราของจำเลยไว้ ตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.4 ส่วนสินค้าครั้งหลังเจ้าหน้าที่ของจำเลยลงลายมือชื่อรับสินค้าไว้ ตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.5 และจำเลยได้แถลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลฉบับลงวันที่ 7 เมษายน 2542 ว่าเกี่ยวกับสินค้าพิพาทจำเลยได้ตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่ามีสินค้า 10 ชุด จำเลยส่งไปซ่อมที่โจทก์ และพบสินค้าอีก 11 ชุด อยู่ที่จำเลย แต่สินค้า 11 ชุดที่พบนี้จำเลยไม่ได้สั่งซื้อ ซึ่งเจือสมกับพยานโจทก์ว่าโจทก์ได้ส่งมอบสินค้าพิพาทแก่จำเลย 2 ครั้ง ตามใบส่งเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 โดยสินค้าตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.4 มีใบสั่งซื้อ ส่วนสินค้าตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.5 นายวิเชียร สุทธิเลิศวรกุล กรรมการของจำเลยเป็นผู้สั่งซื้อทางโทรศัพท์กับนายอาทร ซึ่งตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.4 ก็ระบุใบสั่งซื้อเลขที่ 048/2384 ตรงกับเลขที่ใบสั่งซื้อเอกสารหมาย จ.8 แม้การสั่งซื้อสินค้าพิพาทและการลงลายมือชื่อรับสินค้าจะถูกต้องตามระเบียบที่จำเลยกำหนดหรือไม่ก็ตาม แต่การที่สินค้าพิพาทอยู่ที่จำเลยและพฤติการณ์ที่จำเลยได้ส่งสินค้าพิพาทบางส่วนไปให้โจทก์ซ่อมแซมนั้น ถือได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันในการซื้อสินค้าพิพาทแล้วจำเลยจึงต้องชำระราคาสินค้าพิพาทแก่โจทก์ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามของโจทก์จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัด จำเลยจึงยังไม่ต้องชำระดอกเบี้ยฐานผิดนัดนั้น เห็นว่า มีข้อตกลงการชำระราคาสินค้าพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยตามที่ระบุไว้ในใบส่งของเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ว่าการชำระเงินต้องชำระภายใน 45 วัน นับแต่วันส่งมอบสินค้า เมื่อโจทก์ส่งมอบสินค้าครั้งแรกตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.4วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2540 ครั้งหลังตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.5 วันที่ 3 กรกฎาคม2540 จำเลยจึงต้องชำระราคาครั้งแรกในวันที่ 20 มีนาคม 2540 และครั้งหลังในวันที่17 สิงหาคม 2540 จึงเป็นหนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อจำเลยมิได้ชำระหนี้ตามกำหนด จึงถือได้ว่าจำเลยผิดนัดโดยโจทก์มิพักต้องเตือนอีก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินที่ค้างชำระนับแต่วันครบกำหนด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน

สรุป

แม้การสั่งซื้อสินค้าพิพาทและการลงลายมือชื่อรับสินค้าของเจ้าหน้าที่คลังสินค้าของจำเลยจะถูกต้องตามระเบียบที่จำเลยกำหนดหรือไม่ก็ตาม แต่การที่สินค้าพิพาทอยู่ที่จำเลยและพฤติการณ์ที่จำเลยได้ส่งสินค้าพิพาทบางส่วนไปให้โจทก์ซ่อมแซม ถือได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันในการซื้อสินค้าพิพาทแล้ว จำเลยจึงต้องชำระราคาสินค้าพิพาทแก่โจทก์

ข้อตกลงการชำระราคาสินค้ามีว่าต้องชำระภายใน 45 วัน นับแต่วันส่งมอบสินค้า จึงเป็นหนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อจำเลยมิได้ชำระหนี้ตามกำหนด จึงถือได้ว่าจำเลยผิดนัดโดยโจทก์มิพักต้องเตือนอีก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินที่ค้างชำระนับแต่วันครบกำหนด

Facebook Comments