Home บทความคดีแพ่ง ต่างฝ่ายต่างด่ากัน อ้างบันดาลโทสะได้หรือไม่

ต่างฝ่ายต่างด่ากัน อ้างบันดาลโทสะได้หรือไม่

1854

ต่างฝ่ายต่างด่ากัน อ้างบันดาลโทสะได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2553

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่รับว่าทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจริง แต่มิได้มีเจตนาฆ่า กระทำความผิดโดยบันดาลโทสะและความมึนเมา

ระหว่างพิจารณา นางชมพู ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 10 ปี คำให้การและคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้มีดอีโต้ฟันนางชมพู โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสบาดแผลตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยใช้มีดอีโต้ฟันโจทก์ร่วม โดยมีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม เห็นว่า โจทก์ร่วมเบิกความยืนยันว่า โจทก์ร่วมเดินออกจากห้องครัวเห็นจำเลยเดินเข้ามาในบ้าน จึงถามหานายชมพู่ สามี จำเลยด่าแม่และเงื้อมือใช้สิ่งของฟาดลงมาที่ศีรษะอย่างแรง โจทก์ร่วมยกแขนซ้ายขึ้นรับ และรู้สึกเจ็บ จึงหันหลังเพื่อจะวิ่งหนี แต่ล้มลงและหมดสติไป ทั้งยังได้เบิกความยืนยันอีกว่าจำเลยฟันโจทก์ร่วมหลายครั้ง แต่จำไม่ได้กี่ครั้ง ครั้งแรกจำเลยกะฟันที่ศีรษะของโจทก์ร่วม เมื่อพิจารณาผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์แล้ว ปรากฏว่าโจทก์ร่วมมีบาดแผลฉีกขาดขอบเรียบบริเวณแขนซ้ายยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ลึกถึงกล้ามเนื้อ มีกล้ามเนื้อบางส่วนฉีกขาด บาดแผลฉีกขาดขอบเรียบที่หลังศีรษะยาวประมาณ 10 เซนติเมตร มีเศษกระดูกกะโหลกศีรษะบางส่วนหลุดออกมาติดกับแผล บาดแผลฉีกขาดขอบเรียบบริเวณใต้ใบหูซ้ายยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูกกะโหลกศีรษะ บาดแผลฉีกขาดขอบเรียบบริเวณกลางหลังยาวประมาณ 4 เซนติเมตร บาดแผลดังกล่าวเป็นบาดแผลที่ลึกและอยู่ห่างกันบ่งชี้ว่าเป็นแผลที่เกิดจากการฟันหลายครั้งตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมจริง นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของนายแพทย์ชมนาด อีกว่าบาดแผลฉีกขาดที่หลังศีรษะเกิดจากการฟันอย่างแรง เป็นบาดแผลสำคัญ หากรักษาไม่ทันถึงแก่ความตายได้ บาดแผลที่แขนซ้ายลึกถึงกล้ามเนื้อ ซึ่งมีเส้นเลือดอยู่มาก หากรักษาไม่ทันอาจทำให้เสียเลือดมากและถึงแก่ความตายได้เช่นเดียวกัน โดยปกติศีรษะลำคอและไขสันหลังเป็นอวัยวะสำคัญ หากถูกทำร้ายได้รับบาดแผลร้ายแรงอาจถึงแก่ความตายได้ โจทก์ร่วมมีบาดแผลฉกรรจ์ จึงต้องส่งตัวโจทก์ร่วมไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้อเท็จจริงยังฟังได้อีกว่า จำเลยใช้มีดอีโต้ ซึ่งเป็นมีดทำครัวขนาดใหญ่ มีน้ำหนักมากและคม เมื่อโจทก์ร่วมหันหลังจะวิ่งหนี จำเลยได้ฟันซ้ำอย่างแรงที่บริเวณหลังศีรษะ ลำคอใต้ใบหู และกลางหลังอีก รวม 3 ครั้ง การที่จำเลยใช้มีดอีโต้ซึ่งเป็นมีดทำครัวขนาดใหญ่เลือกฟันอย่างแรงที่ศีรษะลำคอและกลางหลัง ซึ่งล้วนเป็นอวัยวะสำคัญ จนเป็นแผลฉกรรจ์ หากรักษาไม่ทันอาจถึงแก่ความตายได้ จำเลยย่อมจะเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำของจำเลยอาจทำให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายถึงแก่ความตายได้ พฤติการณ์ชี้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมแล้ว แม้เมื่อโจทก์ร่วมล้มลงหมดสติไปจำเลยจะไม่ได้ฟันโจทก์ร่วมซ้ำอีกก็ตาม

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ร่วมทะเลาะกับนายชมพู่ ผู้เป็นสามีในบ้านที่โจทก์ร่วมและสามีอาศัยอยู่ด้วยกัน ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของนายกล้วยไม้ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมว่า ทั้งสองคนทะเลาะกันเป็นประจำ การทะเลาะด่าทอกันระหว่างโจทก์ร่วมและนายชมพู่จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสามีภรรยาที่ทะเลาะกันเป็นประจำ แม้จะฟังได้ว่าโจทก์ร่วมได้ด่านายชมพู่ไปถึงบิดามารดาและโคตรตระกูลของนายชมพู่ด้วย และจำเลยก็เป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของนายชมพู่จึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรงสำหรับนายชมพู่และจำเลย แต่โจทก์ร่วมด่าว่านายชมพู่ ไม่ได้ด่าว่าจำเลยโดยตรง ทั้งโจทก์ร่วมก็ไม่ทราบว่าจำเลยนั่งอยู่ที่ร้านอาหารใกล้ ๆ บ้านเกิดเหตุ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมมีเจตนาด่าว่าให้ไปถึงจำเลยด้วย การที่จำเลยโกรธเมื่อได้ยินโจทก์ร่วมด่าว่าบิดามารดาและโคตรตระกูลตั้งแต่อยู่ที่ร้านอาหารแล้วก่อนเข้าไปฟันโจทก์ร่วมในบ้านเกิดเหตุตามที่อ้างมาในฎีกานั้น เห็นว่า โจทก์ร่วมไม่ได้มีเจตนาด่าว่าหรือข่มเหงต่อจำเลย จึงไม่ถือว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อจำเลยเข้าไปในบ้าน โจทก์ร่วมชี้หน้าด่าจำเลยว่า จำเลยเลวพอ ๆ กับนายชมพู่และเลวทั้งโคตรทั้งตระกูล จำเลยรู้สึกโกรธจึงหยิบมีดฟันโจทก์ร่วมนั้น แม้ข้อเท็จจริงอาจเป็นไปได้ว่าโจทก์ร่วมด่าจำเลยดังกล่าวจริง แต่ก็ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมด้วยว่า จำเลยด่าแม่โจทก์ร่วมก่อนเข้ามาฟันโจทก์ร่วม ซึ่งจำเลยเองก็รับมาในฎีกาว่า จำเลยโกรธและโมโหจึงพูดด่าแม่ก่อนที่จะหยิบมีดทำครัวฟันโจทก์ร่วม การที่จำเลยด่าแม่โจทก์ร่วมตอบโต้ไปก่อนเข้าฟันโจทก์ร่วมเช่นนี้ เท่ากับว่าจำเลยได้ถลำเข้าไปทะเลาะวิวาทกับโจทก์ร่วมด้วยแล้วเมื่อต่างคนต่างก็ทะเลาะด่าว่าซึ่งกันเช่นนี้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และไม่อาจอ้างว่าเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่ได้กระทำนั้นได้

มีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นข้อสุดท้ายว่า สมควรลงโทษจำเลยสถานเบาหรือไม่ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วางโทษจำคุก 10 ปี ก่อนลดโทษให้ตามกฎหมาย อันเป็นการวางโทษจำคุกขั้นต่ำสุดที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นแล้วอย่างไรก็ดี โจทก์ร่วมก็มีส่วนผิดอยู่ด้วยที่ไม่สมควรไปด่าว่าถึงบิดามารดาและโคตรตระกูลของนายชมพู่ผู้เป็นสามี ทำให้จำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของนายชมพู่ได้ยินแล้วโกรธโจทก์ร่วมจนขาดความยับยั้งชั่งใจกระทำความผิดตามอารมณ์ชั่ววูบ ทั้งจำเลยได้เข้ามอบตัวต่อสู้คดีโดยดี คำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาตลอดจนการนำสืบของจำเลยก็เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่ไม่น้อยประกอบกับก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยได้วางเงินจำนวน 50,000 บาท ต่อศาลเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งและโจทก์ร่วมรับไปแล้ว แสดงว่าจำเลยรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดเท่าที่จะทำได้แล้ว นอกจากนี้จำเลยยังฎีกายอมรับเข้ามาว่าจำเลยได้ด่าแม่โจทก์ร่วมก่อนหยิบมีดอีโต้ฟันโจทก์ร่วม ซึ่งเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลฎีกาอยู่มาก จึงเห็นสมควรลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งซึ่งมากที่สุดแล้วเท่าที่กฎหมายบัญญัติให้ลดได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย โดยลดโทษให้เพียงหนึ่งในสามนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

สรุป

การที่จำเลยด่าแม่โจทก์ร่วมตอบโต้ไป ก่อนเข้าฟันโจทก์ร่วม เท่ากับว่าจำเลยได้ถลำเข้าไปทะเลาะวิวาทกับโจทก์ร่วมด้วยแล้ว เมื่อต่างคนต่างก็ทะเลาะด่าว่าซึ่งกันและกันเช่นนี้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตาม ป.อ. มาตรา 72 และไม่อาจอ้างว่าเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับความผิดที่ได้กระทำนั้นได้

การจำเลยใช้มีดอีโต้ซึ่งเป็นมีดทำครัวขนาดใหญ่เลือกฟันอย่างแรงที่ศีรษะลำคอและกลางหลัง ซึ่งล้วนเป็นอวัยวะสำคัญจนเป็นแผลฉกรรจ์ หากรักษาไม่ทันอาจถึงแก่ความตายได้ จำเลยย่อมจะเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำของจำเลยอาจทำให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายถึงแก่ความตายได้ พฤติการณ์ชี้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมแล้ว แม้เมื่อโจทก์ร่วมล้มลงหมดสติไปจำเลยจะไม่ได้ฟันโจทก์ร่วมซ้ำอีกก็ตาม

Facebook Comments