Home คดีอาญา ขอถอนคำให้การเดิมจากปฏิเสธ เป็นรับสารภาพในชั้นฎีกาได้หรือไม่

ขอถอนคำให้การเดิมจากปฏิเสธ เป็นรับสารภาพในชั้นฎีกาได้หรือไม่

5782

ขอถอนคำให้การเดิมจากปฏิเสธ เป็นรับสารภาพในชั้นฎีกาได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8728/2558

จำเลยฎีกาขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพนั้น เป็นการขอแก้ไขคำให้การจากที่ให้การปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพ ซึ่งจำเลยไม่อาจกระทำได้ เพราะการแก้ไขคำให้การจะต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163 วรรคสอง แต่อย่างไรก็ดี การที่จำเลยยื่นฎีกาขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกาเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริง โดยไม่โต้แย้งข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 352 และนับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7252/2555, 8122/2555 และ 8123/2555 ของศาลชั้นต้น

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 4 เดือน นับโทษจำคุกในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9765/2556 และ 9766/2556 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 10772/2556 ของศาลชั้นต้น นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลพิพากษายกฟ้อง จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ คำขอในส่วนนี้ให้ยก กับให้ยกฟ้องข้อหายักยอก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพนั้น เห็นว่า เป็นการขอแก้ไขคำให้การจากที่ให้การปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพ ซึ่งจำเลยไม่อาจกระทำได้ เพราะการแก้ไขคำให้การจะต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคสอง แต่อย่างไรก็ดี การที่จำเลยยื่นฎีกาขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกาเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริง โดยไม่โต้แย้งข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าตนเองเป็นทนายความ ทำให้โจทก์หลงเชื่อมอบเงินให้จำเลยไปถึง 134,541.71 บาท เป็นการกระทำที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายและความเดือดร้อนของผู้อื่น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน มีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว หรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็มิใช่เป็นเหตุผลเพียงพอจะรับฟังเพื่อรอการลงโทษให้แก่จำเลย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามจำเลยนำเงินมาวางต่อศาลชั้นต้นตามคำร้องท้ายฎีกาเพื่อชดใช้แก่โจทก์เป็นการบรรเทาผลร้ายแก่โจทก์อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขโทษให้เหมาะสม

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 2 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

สรุป ต้องทำก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา

มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา

โทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี @lawyers.in.th

 

Facebook Comments