Home ข่าวสาร การตีความของสัญญาจ้างทำของ ศาลฎีกาวางหลักไว้อย่างไร

การตีความของสัญญาจ้างทำของ ศาลฎีกาวางหลักไว้อย่างไร

843

การตีความของสัญญาจ้างทำของ ศาลฎีกาวางหลักไว้อย่างไร

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยอ้างว่าการเสียภาษีการค้าประจำปี พ.ศ. 2521 และ 2522 ของโจทก์ โดยนำรายรับจากการผลิตอิฐทนไฟไปเสียภาษีการค้าบางส่วนไว้ตามประเภทการค้า4. การรับจ้างทำของ ชนิด 1 (ฉ) ในอัตราร้อยละ 2 เป็นการเสียภาษีผิดประเภทการค้าและได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าตามาประเภทการค้า 1. การขายของชนิด 1 (ก) ในอัตราร้อยละ 7 โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องจึงอุทธรณ์การประเมินคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและคำวินิจฉัยอุทธรณ์

จำเลยให้การว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟ โจทก์นำรายรับแยกเสียภาษีการค้าออกเป็น 2 ประเภทคือ การผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟแบบมาตรฐาน โจทก์นำรายรับจากการจำหน่ายเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1.การขายของ ชนิด 1 (ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 ส่วนอีกประเภทหนึ่งเป็นการผลิตอิฐทนไฟตามคำสั่งของลูกค้าเป็นการเฉพาะรายที่ต้องการอิฐทนไฟที่มีแบบขนาดและการทนความร้อนสูงกว่าอิฐทนไฟแบบมาตรฐาน โจทก์นำรายรับจากการจำหน่ายเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 4.การรับจ้างทำของ ชนิด1 (ฉ) ตามบัญชีอัตราการค้าในอัตราร้อยละ 2 โดยอ้างว่าเป็นการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟในลักษณะของการรับจ้างทำของ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อแตกต่างระหว่างการซื้อขายและการรับจ้างทำของนั้นหาได้อยู่ที่เจตนาและกริยาของคู่กรณีที่ประพฤติต่อกันแต่ประการเดียวไม่ แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าจะต้องพิจารณาว่าสัมภาระกับการงานที่รับทำจนสำเร็จนั้นสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน ถ้าการงานที่รับทำจนสำเร็จสำคัญกว่าสัมภาระก็เป็นการรับจ้างทำของ แต่ถ้าไม่สำคัญกว่าก็เป็นการซื้อขายสำหรับการผลิตอิฐทนไฟไม่ว่าจะเป็นการผลิตแบบมาตรฐานหรือผลิตตามคำสั่งเป็นการเฉพาะรายนั้น วัตถุดิบหรือสัมภาระที่ใช้ในการทำอิฐทนไฟได้แก่บล๊อกไซด์ ชามอส อลูมิน่าดินทนไฟ นำมาผสมกันเติมด้วยสารเคมี แล้วนำไปอัดเป็นรูปแบบต่างๆ จากนั้นจึงนำไปเผาไฟ จึงเห็นได้ว่าอิฐทนไฟที่ผลิตหาได้มีความสำคัญไปกว่าสัมภาระหรือวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตไม่ การผลิตอิฐทนไฟตามคำสั่งเฉพาะรายของลูกค้าจึงหาใช่เป็นการรับจ้างทำของไม่ แต่เป็นการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟเช่นเดียวกับอิฐทนไฟแบบมาตรฐานนั่นเอง ดังนั้นรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟตามคำสั่งของลูกค้าเป็นการเฉพาะรายจะต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1.การขายของ ชนิด1 (ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 เช่นเดียวกับการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟแบบมาตรฐาน จะนำแยกเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 4. การรับจ้างทำของชนิด 1 (ฉ) ในอัตราร้อยละ2 หาได้ไม่

พิพากษายืน.

  • สรุป
  • ข้อแตกต่างระหว่างการซื้อขายและการรับจ้างทำของนั้นหาได้อยู่ที่เจตนาและกริยาของคู่กรณีที่ประพฤติต่อกันแต่ประการเดียวไม่ แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า สัมภาระกับการงานที่รับทำจนสำเร็จนั้นสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน ถ้าการงานที่รับทำจนสำเร็จสำคัญกว่าสัมภาระก็เป็นรับจ้างทำของ แต่ถ้าไม่สำคัญกว่าก็เป็นการซื้อขาย

    การผลิตอิฐทนไฟไม่ว่าจะเป็นการผลิตแบบมาตรฐานหรือผลิตตามคำสั่งเป็นการเฉพาะราย วัตถุดิบหรือสัมภาระที่ใช้ได้แก่บล๊อกไซด์ชามอสอลูมิน่า ดินทนไฟ นำมาผสมกัน เติมด้วยสารเคมีแล้วนาไปอัดเป็นรูปแบบต่าง ๆ จากนั้นจึงนำไปเผาไฟ จึงเห็นได้ว่าอิฐทนไฟที่ผลิตหาได้มีความสำคัญไปกว่าสัมภาระหรือวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตไม่ การผลิตอิฐทนไฟตามคำสั่งเฉพาะรายของลูกค้าจึงมิใช่เป็นการรับจ้างทำของ แต่เป็นการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟเช่นเดียวกับอิฐทนไฟแบบมาตรฐานนั่นเองดังนั้นรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟตามคำสั่งของลูกค้าเป็นการเฉพาะราย จึงต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1.การขายของ ชนิด 1(ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 เช่นเดียวกับรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟแบบมาตรฐาน มิใช่เสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 4.การรับจ้างทำของ ชนิด 1(ฉ) ในอัตราร้อยละ 2.

Facebook Comments