Home ทั้งหมด การของคำถามค้านที่ลดน้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยานฝั่งตรงข้าม

การของคำถามค้านที่ลดน้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยานฝั่งตรงข้าม

673

#หลักการของคำถามค้านที่ลดน้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยานฝั่งตรงข้าม

ทนายกฤษดา ขออนุญาตแนะนำว่า การถามค้านเป็นกลยุทธ์สำคัญอย่างหนึ่งในการต่อสู้คดี โดยฝ่ายที่ถามค้านสามารถใช้ประโยชน์จากการถามค้านเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของพยานฝั่งตรงข้าม และทำให้คำเบิกความของพยานฝั่งตรงข้ามไม่เป็นที่เชื่อถือของศาล

#หลักการของคำถามค้านที่ลดน้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยานฝั่งตรงข้าม มีดังนี้

#มุ่งเน้นไปที่ความน่าเชื่อถือของพยาน

ความน่าเชื่อถือของพยานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คำเบิกความของพยานน่าเชื่อถือ หากพยานไม่มีความน่าเชื่อถือ คำเบิกความของพยานก็จะไม่น่าเชื่อถือไปด้วย คำถามค้านที่มุ่งเน้นไปที่ความน่าเชื่อถือของพยานจึงมีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าพยานไม่มีความน่าเชื่อถือ เช่น

#คำถามเกี่ยวกับคุณสมบัติของพยาน เช่น ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น ฝ่ายที่ถามค้านอาจถามพยานว่าเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาอะไรบ้าง หรือเคยให้ปากคำในคดีนี้มาก่อนหรือไม่ หากพยานเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับคดีที่กำลังพิจารณาอยู่ หรือเคยให้ปากคำในคดีนี้มาก่อนและคำเบิกความขัดแย้งกันเอง ย่อมแสดงให้เห็นว่าพยานไม่น่าเชื่อถือ

#คำถามเกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนในคำเบิกความของพยาน

ความคลาดเคลื่อนในคำเบิกความของพยานแสดงให้เห็นว่าพยานอาจจำเหตุการณ์ไม่ถูกต้อง หรืออาจจงใจบิดเบือนความจริง คำถามค้านที่มุ่งเน้นไปที่ความคลาดเคลื่อนในคำเบิกความของพยานจึงมีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าพยานไม่น่าเชื่อถือ เช่น

ตัวอย่างเช่น ฝ่ายที่ถามค้านอาจถามพยานว่าเคยให้การว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเวลา 10.00 น. แต่ตอนนี้กลับให้การว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเวลา 11.00 น. หรือเคยให้การว่าคู่ความฝั่งตรงข้ามพูดว่า “ฉันไม่ได้ทำ” แต่ตอนนี้กลับให้การว่าคู่ความฝั่งตรงข้ามพูดว่า “ฉันทำ”

#มุ่งเน้นไปที่เจตนาของพยาน

เจตนาของพยานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คำเบิกความของพยานน่าเชื่อถือ หากพยานมีเจตนาที่จะให้ข้อมูลที่เป็นความจริง ย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่าพยานที่มีเจตนาที่จะบิดเบือนความจริง คำถามค้านที่มุ่งเน้นไปที่เจตนาของพยานจึงมีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าพยานมีเจตนาที่จะให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ เช่น

#คำถามเกี่ยวกับเหตุผลอะไรที่จะให้ข้อมูลที่เป็นเท็จในคดีนี้

ตัวอย่างเช่น ฝ่ายที่ถามค้านอาจถามพยานว่ามีเหตุผลอะไรที่จะให้ข้อมูลที่เป็นเท็จในคดีนี้ เช่น กลัวคู่ความฝั่งตรงข้าม หรือมีผลประโยชน์อะไรที่จะช่วยเหลือคู่ความฝั่งตรงข้าม

#คำถามเกี่ยวกับผลประโยชน์อะไรที่จะช่วยเหลือคู่ความฝั่งตรงข้าม

ตัวอย่างเช่น ฝ่ายที่ถามค้านอาจถามพยานว่ามีผลประโยชน์อะไรที่จะช่วยเหลือคู่ความฝั่งตรงข้าม เช่น มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคู่ความฝั่งตรงข้าม หรือมีผลประโยชน์ที่จะได้จากการชนะคดี

#ตัวอย่างคำถามค้านที่ลดน้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยานฝั่งตรงข้าม

ตัวอย่างคำถามค้านที่มุ่งเน้นไปที่ความน่าเชื่อถือของพยาน เช่น

* พยานเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาอะไรบ้าง
* พยานเคยให้ปากคำในคดีนี้มาก่อนหรือไม่
* พยานมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคู่ความฝั่งตรงข้ามหรือไม่

ตัวอย่างคำถามค้านที่มุ่งเน้นไปที่ความคลาดเคลื่อนในคำเบิกความของพยาน เช่น

พยานเคยให้การว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเวลา 10.00 น. แต่ตอนนี้คุณกลับให้การว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเวลา 11.00 น. คุณแน่ใจหรือไม่ว่าจำเหตุการณ์ได้ถูกต้อง
พยานเคยให้การว่าคู่ความฝั่งตรงข้ามพูดว่า “ฉันไม่ได้ทำ” แต่ตอนนี้คุณกลับให้การว่าคู่ความฝั่งตรงข้ามพูดว่า “ฉันทำ” คุณแน่ใจหรือไม่ว่าจำคำพูดของคู่ความฝั่งตรงข้ามได้ถูกต้อง

#ตัวอย่างคำถามค้านที่มุ่งเน้นไปที่เจตนาของพยาน เช่น

* คุณมีเหตุผลอะไรที่จะให้ข้อมูลที่เป็นเท็จในคดีนี้
* คุณมีผลประโยชน์อะไรที่จะช่วยเหลือคู่ความฝั่งตรงข้าม

#ทนายกฤษดาขออนุญาตให้เทคนิคการถามค้านที่มีประสิทธิภาพ

การถามค้านที่มีประสิทธิภาพควรเป็นการถามที่มุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญและชัดเจน หลีกเลี่ยงการถามที่คลุมเครือหรือถามซ้ำ ๆ โดยควรถามคำถามที่เปิดโอกาสให้พยานตอบในลักษณะที่ขัดแย้งกับคำเบิกความเดิม หรือขัดแย้งกับหลักฐานอื่น ๆ ที่มีอยู่

นอกจากนี้ ผู้ถามค้านควรเตรียมคำถามล่วงหน้าอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถถามคำถามได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงประเด็น
ทนายกฤษดา ดวงชอุ่ม 089-142-7773 ไลน์ไอดี @lawyers.in.th

Facebook Comments