Home บทความคดีแพ่ง อ้างว่ามารับชำระหนี้แทนบุคคลอื่นทั้งที่เป็นความเท็จ ถือเป็นการกระทำผิดฐานฉ้อโกง

อ้างว่ามารับชำระหนี้แทนบุคคลอื่นทั้งที่เป็นความเท็จ ถือเป็นการกระทำผิดฐานฉ้อโกง

1038

 

อ้างว่ามารับชำระหนี้แทนบุคคลอื่นทั้งที่เป็นความเท็จ ถือเป็นการกระทำผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5683/2541

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2535โจทก์ที่ 1 ทำสัญญากู้เงินจากนายมะเดื่อ จำนวน200,000 บาท โดยโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและมีจำเลยเป็นพยาน นายมะเดื่อได้ยึดสัญญากู้และโฉนดที่ดินของโจทก์ไว้เป็นประกัน จำเลยเป็นผู้ไปเก็บดอกเบี้ยจากโจทก์ที่ 1แทนนายมะเดื่อทุกเดือน ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2537 เวลากลางวัน จำเลยบังอาจกระทำความผิด โดยเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ทั้งสองว่านายมะเดื่อให้จำเลยไปขอรับชำระหนี้เงินกู้ จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระจำนวน 16,000 บาทโดยนายมะเดื่อฝากโฉนดที่ดินไปคืนโจทก์ทั้งสอง ส่วนสัญญากู้เงินนายมะเดื่อลืมไว้ในกระเป๋าเสื้อ เด็กนำเสื้อไปซัก สัญญากู้เงินฉีกขาดใช้ไม่ได้แล้ว โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อจึงจ่ายเงินแก่จำเลยจำนวน 216,000 บาท แล้วรับโฉนดที่ดินคืนและให้จำเลยทำบันทึกรับเงินแทนไว้ ต่อมาวันที่ 7 กันยายน 2537 โจทก์ทั้งสองได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่นายมะเดื่อฟ้องโจทก์ทั้งสองเรียกเงินกู้จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 16,000 บาทโจทก์ทั้งสองจึงทราบว่าถูกจำเลยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แล้วได้เงินจากโจทก์ทั้งสองไปจำนวน 216,000 บาทขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 216,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2535 โจทก์ที่ 1 ได้กู้เงิน นายมะเดื่อ จำนวน 300,000 บาท กำหนดชำระเงินคืน ภายใน 1 ปี โดยโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยลงลายมือชื่อเป็นพยานตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2535 โจทก์ที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินนายมะเดื่อจำนวน 200,000 บาท ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4และนายมะเดื่อได้คืนสัญญากู้เงินฉบับเดิมตามเอกสารหมาย จ.3แก่โจทก์ที่ 1 ต่อมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2537 นายมะเดื่อได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1313/2537ของศาลชั้นต้นให้ชำระเงินกู้จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.4 ตามหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ.6 โจทก์ทั้งสองให้การในคดีแพ่งว่าได้ชำระเงินกู้ดังกล่าวให้แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของนายมะเดื่อไปแล้วตามสำเนาคำให้การเอกสารหมาย ล.3 และนายมะเดื่อได้ถอนฟ้องคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว

มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้มาขอรับชำระหนี้เงินกู้จำนวน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์ที่ 1 กู้เงินจากนายมะเดื่อตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 จากโจทก์ที่ 1 โดยอ้างว่ารับแทนนายมะเดื่อและโจทก์ที่ 1 ได้มอบเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 216,000 บาทให้จำเลยไป โดยหลงเชื่อว่าจำเลยรับเงินแทนนายมะเดื่อเช่นนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยเจตนาทุจริต เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง

พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือชำระเงินจำนวน 216,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

สรุป

จำเลยได้มาหลอกลวงขอรับชำระหนี้เงินกู้จำนวน200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์กู้เงินจาก ค. จากโจทก์ โดยจำเลยอ้างว่ารับแทน ค. และโจทก์หลงเชื่อได้มอบเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 216,000 บาท ให้จำเลยไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยเจตนาทุจริตเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

Facebook Comments