Home กฎหมาย-ฎีกาน่ารู้ กรณี ” เมื่อถูกจับนม ” ?

กรณี ” เมื่อถูกจับนม ” ?

16376

 

judges-gavel

 

 

กรณี ” เมื่อถูกจับนม ” ?

การจับนมถือว่าเป็นความผิดฐานความผิดอนาจาร  ทั้งการจะเป็นความผิดอนาจารก็ต้องกระทำไปโดยที่บุคคลนั้นไม่ยินยอม

ประมวลกฏหมายอาญา

มาตรา 278 ผู้ใดกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดย ขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่า ตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๗๙ ผู้ใดกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก ผู้กระทำได้กระทำโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้เด็กนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

มาตรา ๒๘๐ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๒๗๘ หรือมาตรา ๒๗๙ เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ

 

(๑) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท

 

(๒) ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา 281 การกระทำความผิดตาม มาตรา 276 วรรคแรก และ มาตรา 278 นั้น ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกำนัล ไม่เป็นเหตุให้ผู้ ถูกกระทำรับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย หรือมิได้เป็นการ กระทำแก่บุคคลดังระบุไว้ใน มาตรา 285 เป็นความผิดอันยอมความได้

 

แต่กระนั้นหากเข้ากรณีตามาตรา  281   ก็เป็นความผิดอันยอมความได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 2334/2525

ป.อ. มาตรา 90, 91, 278, 362

จำเลยเข้าไปจับนมผู้เสียหายขณะกำลังนอนอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ผู้เสียหายวิ่งหนีเข้าไปในบ้าน จำเลยวิ่งตามเข้าไปกอดจับนมผู้เสียหายในบ้านอีก การกระทำผิดของจำเลยตอนแรกกับตอนหลังเป็นการกระทำต่อเนื่องยังมิได้ขาดตอนกัน และเจตนาของจำเลยก็เพื่อกอดจับนมผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

 

การจับนมถือว่าเป็นการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4977/2556

การที่จำเลยจับนมผู้เสียหายโดยม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้อนุญาตยินยอมนั้น เป็นการใช้กำลังประทุษร้าย เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคสองแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่าการจับนมเป็นเพียงวิธีการทำอนาจารผู้เสียหายเท่านั้น ไม่เป็นการกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้โดยไม่เพิ่มเติมโทษจำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 212 ประกอบมาตรา 225

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 279 และนับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4136/2547 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปจำคุกกระทงละ 3 เดือน รวม 10 กระทง จำคุก 30 เดือน ส่วนคำขอให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4136/2547 นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่อาจนับโทษต่อได้

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก 5 กระทง มีความผิดตามมาตรา 279 วรรคสอง 1 กระทง ความผิดฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 279 วรรคแรก ให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง ปรับกระทงละ 2,000 บาท รวม 5 กระทง ปรับ 10,000 บาท ฐานกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา 279 วรรคสอง จำคุก 4 เดือน และปรับ 3,000 บาท รวมจำคุก 19 เดือน และปรับ 13,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดในสี่กรรมหลังนี้หรือไม่ เห็นว่า สำหรับครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 นั้นได้ความจากผู้เสียหายว่า ผู้เสียหาย พี่สาว น้องสาว และจำเลยเล่นจั๊กจี้กันซึ่งตามคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวน ก็ได้ความว่า ในการเล่นนั้น พี่สาวของผู้เสียหายก็จับแขนผู้เสียหายไว้ให้จำเลยจับนม เมื่อผู้เสียหายจั๊กจี้มาก ทั้งสองคนก็ปล่อยตัว ดังนี้ย่อมแสดงว่าขณะเกิดเหตุพี่สาวของผู้เสียหายอยู่ด้วยในห้องและเหตุการณ์เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากเล่นกัน ซึ่งโดยปกติแล้วการกระทำอนาจารจำเลยจะต้องไม่กระทำต่อหน้าผู้อื่น โดยเฉพาะต่อหน้าพี่สาวของผู้เสียหายเองและเป็นภริยาจำเลยด้วย จึงเป็นการผิดวิสัยของผู้กระทำความผิด และการเล่นเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้ถูกแกล้งจะต้องดิ้นรนหลบหนีเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วให้พ้นจากการถูกจั๊กจี้ และผู้แกล้งก็จะต้องเคลื่อนไหวร่างกายไล่ติดตามเพื่อแกล้งต่อเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ โดยไม่เคลื่อนไหวร่างกาย กรณีจึงน่าเชื่อว่า เมื่อจำเลย ผู้เสียหาย พี่สาวและน้องสาวเข้าร่วมชุลมุนเล่นจั๊กจี้กัน ขณะที่จำเลยเอื้อมมือไปจั๊กจี้ผู้เสียหายนั้น มือของจำเลยพลาดไปถูกนมของผู้เสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่โจทก์ฎีกาว่าการเล่นดังกล่าวจำเลยจำกัดอยู่ที่เฉพาะบริเวณซี่โครงเท่านั้นไม่ควรขยายไปถึงบริเวณนมของผู้เสียหายด้วยนั้น ต้องเป็นกรณีที่ผู้เสียหายไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายใด ๆ แต่อยู่นิ่งแล้วกระทำ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนครั้งที่ 5 นั้น ผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยเข้ามาคุยระหว่างคุยกันจำเลยปัดมือถูกนม แต่ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายกลับให้การแตกต่างไปว่า ขณะที่อยู่ในบ้านกันสองคนจำเลยใช้มือทั้งสองข้างจับนมทั้งสองข้าง ผู้เสียหายพยายามบ่ายเบี่ยงและปัดป้องแล้วลุกเดินหนีไป ดังนี้พยานหลักฐานโจทก์ในส่วนนี้ไม่สอดคล้องและแตกต่างกันไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยปัดมือถูกนมของผู้เสียหายหรือเข้าไปใช้มือทั้งสองข้างจับนมทั้งสองข้างของผู้เสียหายกันแน่ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดครั้งนี้ และครั้งที่ 8 ผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยซักเสื้อผ้าอยู่ผู้เสียหายไปดื่มน้ำ จำเลยเข้ามาพูดคุยและยื่นฝ่ามือปาดนมผู้เสียหาย 1 ครั้ง แต่ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายกลับให้การว่า ขณะที่พี่สาวและจำเลยอยู่หลังบ้านจำเลยกำลังเอาผ้าใส่เครื่องซักผ้าอยู่ ผู้เสียหายเดินผ่านจะไปดื่มน้ำ จำเลยก็เอามือมาจับนม 1 ครั้ง ต่อหน้าพี่สาวแล้วพี่สาวก็เข้าไปจับผู้เสียหายกับเอานิ้วมือเขี่ยหัวนมผู้เสียหายเล่นจนจั๊กจี้อีก ดังนี้ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า จำเลยยื่นฝ่ามือปาดนมผู้เสียหายอันเป็นการเล่นจั๊กจี้กันอีกหรือเจตนาใช้มือจับนมผู้เสียหายกันแน่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

อนึ่งการที่จำเลยจับนมผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้อนุญาตยินยอมนั้นเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสองแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่า การกระทำความผิดของจำเลยในครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 ครั้งที่ 6 ครั้งที่ 7 และครั้งที่ 9 ไม่ปรากฏว่ามีการฉุดกระชากผู้เสียหายแต่อย่างใด การจับนมเป็นเพียงวิธีการทำอนาจารผู้เสียหายเท่านั้น ไม่เป็นการกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้โดยไม่เพิ่มเติมโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 212 ประกอบมาตรา 225

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง รวม 6 กระทง ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

 

จับแล้วขอโทษ ผู้เสียหายว่าแล้วกันไป   ?

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  3038/2531

 

จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายแล้วพูดขอโทษอย่าให้ผู้เสียหายเอาเรื่อง ผู้เสียหายว่าแล้วกันไปแต่อย่าพูดให้เสียหายการที่ผู้เสียหายพูดกับจำเลยดังกล่าวเป็นการให้อภัยแก่จำเลยเมื่อจำเลยได้ขอโทษผู้เสียหายแล้ว โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยจะไม่ไปพูดให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย ยังไม่ถือว่าเป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย เพราะผู้เสียหายมิได้พูดว่าจะไม่ดำเนินคดีกับจำเลยตลอดไปแต่ผู้เสียหายจะไม่ดำเนินคดีกับจำเลยต่อเมื่อจำเลยไม่ไปพูดให้เสียหาย ดังนั้นสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2).

 

ผู้ใดกระทำอนาจารต่อบุคคลอื่นแล้วคิดว่าจะยอมความได้เสมอ  ?

การที่นายเฒ่าได้เข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นสาธารณสถานแล้วเกิดคิดชั่วเพียงอารมณ์ ชั่ววูบเห็นผู้หญิงสวยงามจึงเดินเข้าไปจับหน้าอกของหญิงนางนั้น นายเฒ่าคิดว่าจะรอดแต่เมื่อมีนายใจได้พบขณะกระทำความผิด จึงถือได้ว่าการกระทำลักษณะนี้เป็นการกระทำต่อหน้าธารกำนัลและเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะไม่ติดใจดำเนินคดีก็ตาม
ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 4593/53    จำเลยกระทำอนาจารจับหน้าอกผู้เสียหายในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งมีลูกค้านั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอื่นด้วยและมี น พนักงานร้านอาหารเห็นว่าจำเลยจับหน้าอกผู้เสียหายขณะ น เสิร์ฟอาหารอยู่ที่โต๊ะอื่นซึ่งเป็นการกระทำต่อหน้าธารกำนัลและมิใช่ความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 ประกอบมาตรา 278 แม้ผู้เสียหายแถลงไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยแล้วสิทธินำคดีอาญามาฟ้องโจทก์ในคดีนี้ยังไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2)

 

 

 

นายเกรียงศักดิ์   นวลศรี

น.บ   น.บ.ท   วิชาชีพว่าความ   ที่ปรึกษากฎหมาย   และผู้เขียนบทความในเว็บตั๋วทนาย.com

Facebook Comments